5 ทริคเพิ่มแสงสว่างในห้องทำงาน ไม่ทำร้ายดวงตา
ดวงตานั้นสำคัญ เพราะทุกวันนี้เราต้องเผชิญกับการนั่งหน้าจอกันนาน ๆ บางทีจนหลงลืมไปว่า แสงสว่างในห้องทำงานนั้นเพียงพอหรือไม่ หากมีแสงสว่างไม่เพียงพอย่อมเกิดอาการเหนื่อยล้าบริเวณดวงตา จนส่งผลกระทบให้ประสิทธิภาพในการทำงานแต่ละวันลดลง
วันนี้ Klearbaan จึงนำ 5 ทริคช่วยเพิ่มแสงสว่างในห้องทำงานอย่างไร โดยไม่ทำร้ายดวงตามาฝาก มาดูกันค่ะ จะมีวิธีไหนบ้างจะช่วยถนอมดวงตาของเราให้ดูสดใส
1.แสงธรรมชาติ ปลอดโปร่ง
การได้รับแสงธรรมชาตินอกจากจะประหยัดค่าไฟฟ้าแล้ว ยังสามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอกได้ หากเป็นที่อยู่อาศัยในเมืองที่มีฝุ่น ควันมาก ๆ ไม่แนะนำให้เปิดหน้าต่าง ใช้แค่แสงที่สอดส่องเข้ามาทางด้านกระจกจะดีกว่า แต่หากพื้นที่บริเวณบ้านมีสวนต้นไม้ ที่ให้ความร่มรื่น ควรเปิดบานหน้าต่างไปเลยค่ะ หรือนั่งริมระเบียงที่มีความร่มรื่น มีเงาต้นไม้บังแสงแดดได้ และสามารถรับแสงธรรมชาติอย่างเพียงพอระหว่างนั่งทำงาน
2.การจัดแสงภายในห้อง
เมื่อต้องทำงานในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่สามารถรับแสงจากภายนอกได้ การจัดแสงภายในห้องจึงมีความสำคัญ เพราะหากใช้แสงไฟผิดประเภทจะส่งผลกับดวงตาของเราได้ ดังนั้นควรจัดแสงไฟโดยการเลือกหลอดไฟ LED หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ เน้นแสงสีขาวที่ให้แสงสว่างรอบห้องทำงาน เพราะเป็นแสงที่ไม่ทำร้ายดวงตา
3. โคมไฟตั้งโต๊ะ
หากแสงสว่างภายในห้องทำงานไม่เพียงพอ ควรนำโคมไฟมาวางในตำแหน่งที่ต้องการทำงานให้ชัดขึ้น เช่น การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพราะต้องใช้สายตาในการเพ่ง หากแสงสว่างไม่เพียงพออาจทำให้ดวงตาเกิดการเหนื่อยล้าเร็วขึ้น อีกทั้งจะลุกลามไปถึงระบบสมองได้ ดังนั้นการใช้โคมไฟมาช่วยเสริมจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนระบบไฟทั้งบ้านและควรเลือกแสงสีขาวให้กลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุดและวางในมุมที่แสงสว่างสะท้อนมากจากด้านหลัง หรือด้านบนศีรษะ เพราะอาจจะมีเงาทำให้ปวดตา
ควรเลือก โคมไฟตั้งโต๊ะที่มีความสูงรวมกับโต๊ะ ประมาณ 60 -64 นิ้ว เพื่อช่วยให้แสงสว่างกระจายได้ทั่วถึงระหว่างที่นั่งทำงาน
ควรวางให้ห่างออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือหันโคมไฟเข้ากับผนังด้านหลังจอ เพื่อให้แสงสว่างสะท้อนกว้างขึ้น ก็จะสามารถช่วยลดเงา และทำให้การนั่งทำงานมีประสิทธิภาพ และสบายตามากขึ้น
4.การเลือกระดับแสงของหลอดไฟ
หากต้องเลือกใช้หลอดไฟเพื่อให้แสงสว่างเหมาะสมกับการทำงานควรอยู่ที่ 400-600 ลักซ์ ก่อนอื่นต้องอธิบายถึงความเข้มของแสงสว่างเพื่อให้เข้าใจ (ข้อมูลจากวารสารกรมวิทยาศาสตร์ )
ความเข้มของแสงสว่าง หมายถึง ปริมาณแสงที่กระทบ
ลงบนวัตถุต่อพื้นที่ มีหน่วยเป็นลักซ์หรือลูเมนต่อตารางเมตร โดยมี
วิธีการคำนวณหาค่าความเข้มของแสงสว่างจากแหล่งกำเนิด ดังนี้
E=(LM*N*CU*MF)/A
เมื่อ
E = ความเข้มของแสงสว่าง (ลักซ์)
LM = ปริมาณความสว่าง (ลูเมน)
N = จ ำนวนหลอดไฟฟ้า
MF = Maintenance Factor
CU = สัมประสิทธิ์การใช้ประโยชน์
A = พื้นที่ใช้สอย หน่วยเป็น ตารางเมตร
จากสมการนี้สามารถนำมาคำนวณหาจำนวนหลอดไฟที่ควรใช้ได้ภายในห้อง ตามตัวอย่างดังนี้
ถ้าต้องการค่าความเข้มของแสงสว่าง 400 ลักซ์ในห้องที่มีพื้นที่ใช้สอย 50 ตารางเมตร โดยใช้หลอดฟลูออเรสเซนซ์ขนาด 32 วัตต์ค่าความสว่าง 72 ลูเมนต่อวัตต์ค่าสัมประสิทธิ์การใช้ประโยชน์เท่ากับ 0.8 Maintenance factor เท่ากับ 0.6 ต้องใช้หลอดไฟ
400 ลักซ์ = [(72 ลูเมนต่อวัตต์x 32 วัตต์) x N x
0.8 x 0.6]/50
= 18 หลอด
ต้องใช้หลอดไฟอย่างน้อย 18 หลอดถึงจะได้ค่าความเข้มของแสงสว่าง เท่ากับ 400 ลักซ์ในพื้นที่ ใช้งาน 50 ตารางเมตร ลองคำนวนพื้นที่ในห้องทำงานกันดูนะคะ
5.การเลือกสีของหลอดไฟในห้องทำงาน
การเลือกสีของหลอดไฟก็มีความสำคัญเช่นกัน จากที่กล่าวมาข้างต้นคือ การแนะนำให้ใช้แสงไฟสีขาวเพื่อถนอมสายตา แต่เราจะเลือกอย่างไรมาดูกันค่ะ จะเลือกแบบไหนดี โดยสีของหลอดไฟมีให้เลือกใช้งาน 3 ชนิด ได้แก่
หลอดไฟแบบวอร์มไวท์ ( Warm white ) อุณหภูมิของแสงสีอยู่ที่ประมาณ 2,000 – 3,000 เคลวิน ให้แสงสว่างไปในโทนสีเหลือง รู้สึกอบอุ่น และช่วยให้ภายในห้องทำงานรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ส่วนมากแล้วจะนิยมติดในห้องนั่งเล่น ห้องพักผ่อน
หลอดไฟแบบคูลไวท์ ( Cool white ) อุณหภูมิของแสงสีอยู่ที่ประมาณ 4,000 – 5,000 เคลวิน ให้แสงสว่างไปในโทนสีขาว ทำให้รู้สึกสบายตา จึงเหมาะกับห้องทำงานมากที่สุด
หลอดไฟแบบเดย์ไลท์ ( Daylight ) เป็นหลอดไฟแสงขาวที่สว่างที่สุด เหมือนแสงสว่างในธรรมชาติ แบบนี้อุณหภูมิของแสงสีอยู่ที่ 6,000 เคลวิน จึงทำให้มองเห็นได้ชัด เหมาะสำหรับติดในห้องทำงาน เพราะช่วยให้ดวงตาปรับตามธรรมชาติขณะนั่งทำงาน ไม่รู้สึกเมื่อยล้า
ทั้งหมดนี้เป็น 5 ทริคในการเพิ่มแสงสว่างในห้องทำงานโดยไม่ทำร้ายดวงตา ลองนำไปปรับใช้ในห้องทำงานกันนะคะ เพื่อดวงตาที่สวย สว่าง สดใสอยู่คู่กับเราไปนานแสนนาน
เรื่องโดย Chidapa Chaisawad